คำพิพากษาของศาล มีเฉพาะบางประเทศเท่านั้นที่ถือเอาคำพิพากษาของศาลมาจัดทำเป็นกฎหมาย เช่น ประเทศอังกฤษ คือใช้จารีตประเพณีมาพิจารณาพิพากษาคดีและเพื่อไม่ให้มีกรณีเดียวกันนี้เกิดขึ้นซ้ำอีกก็จะนำคำพิพากษานั้นมาจัดทำเป็นกฎหมายเพื่อให้ทุกคนปฏิบัติตาม หากมีคดีที่มีข้อเท็จจริงเหมือนกันเกิดขึ้นอีก ศาลก็จะตัดสินเหมือนกับคดีก่อนๆ แต่ในหลายๆประเทศคำพิพากษาเป็นเพียงแนวทางในการพิจารณาพิพากษาของศาลเท่านั้น ศาลอาจใช้ดุลพินิจพิจารณาพิพากษาต่างจากคดีก่อนๆได้ จึงไม่ถือคำพิพากษาของศาลเป็นกฎหมาย เช่น ประเทศไทยเราเป็นต้น 5.
ค. ๒๕๕๓ ที่มา: นิติวิญญูชน
ชื่อของกฎหมาย ได้แก่ ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เป็นต้น 2.
ระบบกฎหมาย Common law ไม่ต้องมีการบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเพราะระบบกฎหมาย Common law ไม่ได้มาจากกฎหมายลายลักษณ์อักษรแต่มาจากจารีตประเพณีและคำพิพากษาของศาล ๓. ระบบกฎหมาย Common law ถือคำพิพากษาของศาลนั้นเป็นกฎหมาย หากข้อเท็จจริงในคดีหลังเหมือนกับข้อเท็จจริงในคดีแรก ศาลต้องตัดสินเช่นเดียวกับคำพิพากษาของศาลในคดีแรกหรือคดีก่อนๆเพราะคำพิพากษาของศาลถือเป็นกฎหมาย ๔.
ความแตกต่างระหว่าง Civil law กับ common law ระบบกฎหมายต่างๆของโลกมีอยู่หลายระบบด้วยกัน ขึ้นอยู่กับการแบ่งแยกของกลุ่มประเทศที่ใช้ แต่ในที่นี้จะขอแบ่งระบบกฎหมายที่สำคัญที่นิยมและเป็นที่ยอมรับกันอย่างสากลในโลกเพียง ๒ ระบบด้วยกัน คือระบบกฎหมาย Civil law และ Common law ระบบกฎหมาย Civil law คือระบบกฎหมายหลักของโลกอีกระบบหนึ่งซึ่งมีที่มาและลักษณะสำคัญที่พอสรุปได้ดังนี้ ๑.
ความคิดเห็นของนักปราชญ์ ก็คือผู้ทรงความรู้ในทางกฎหมายนั่นเอง อาจจะเป็นนักวิชาการ หรืออาจารย์สอนกฎหมายก็ตาม เนื่องจากนักปราชญ์เหล่านี้จะเป็นผู้ค้นคว้าหลักการและทฤษฎีต่างๆเพื่อสนับสนุนหรือโต้แย้งกฎหมายหรือคำพิพากษาของศาลอยู่เสมอ ทำให้เกิดหลักการหรือทฤษฎีใหม่ๆที่เป็นแนวทางในการบัญญัติกฎหมายได้ เช่น แนวความคิดของ คาร์ล มาร์กซ์ ในประเทศรัสเซีย ฯลฯ ระบบกฎหมาย ระบบกฎหมายหลักๆในโลกนี้มีอยู่ 4 ระบบใหญ่ๆด้วยกัน คือ 1.
แต่ละระบบเข้ามาใช้ก็คงเลือกเอาระบบที่ตนเองเห็นว่าถูกจริตเหมาะสมกับสังคมและประชาชนของตัวเอง.. สำหรับประเทศไทยนั้นพิเศษอยู่นิดหน่อยกล่าวคือถ้าเป็นด้านกม. สารบัญญัติคือกม. เรื่องต่างๆทั่วไปที่ใช้กัน เราอยู่ในระบบ Civil Law คือยึดเอาลายลักษณ์อักษรแห่งกม. เป็นสำคัญ แต่ในส่วนของกฎ กติกา มารยาทในการตัดสินคดีของศาล (วิธีพิจารณาคดี) เราก็ใช้บรรทัดฐานหรือแนวคำพิพากษาของศาลในคดีเดิมๆ (แบบ Common Law) มาช่วยเสริมในกรณีมีปัญหาที่ต้องตีความ เพื่อนำไปสู่การคลี่คลายข้อพิพาท.. เรียกในแง่ดีว่าเป็นความความยืดหยุ่นเพื่อความยุติธรรม (แต่นักกม. ถูกสอนกันมาว่าระบบวิธีพิจารณาคดีของบ้านเราที่กล่าวมานี้เป็นระบบผสม) สิ่งที่น่าคิดและชวนให้ถกเถียงในประเด็นเรื่องระบบกม. ที่กล่าวมาคือ เวลาสังคมบ้านเรามีปัญหาทางกม. เกิดขึ้น เรามักได้ยินการถกเถียงและตีความ ข้อกม. เพื่อเข้าข้างหรือโน้มเอียงไปสู่ผลประโยชน์ฝ่ายตน โดยที่ผู้คนหรือสังคมละเลยการพิจารณาตัวบทกม. ไป เหมือนกับลืมไปว่าบ้านเราควรยึดเอาลายลักษณ์อักษรของกม. เป็นยุติ เช่น ถ้าเรายังไม่มีกม. อุ้มบุญ ก็ทำให้มันมีเป็นรูปเป็นร่างเสีย จากนั้นก็แก้ไขพัฒนากันไป ไม่ใช่มาปล่อยเป็นประเด็นถกถียงแบบไม่รู้จบแบบนี้ (ขอบอกว่าคนที่เป็นนักกม.
saura9.com, 2024